ซื้อแล้ว ซื้ออยู่ รอซื้อต่อ กับ หุ้นสหรัฐฯ odini BLACK Ultimate Allocation

ซื้อแล้ว ซื้ออยู่ รอซื้อต่อ กับหุ้นสหรัฐ โดย odiniBlack

ซื้อแล้ว ซื้ออยู่ รอซื้อต่อ กับ หุ้นสหรัฐฯ odini BLACK Ultimate Allocation

ครึ่งปีที่ผ่านมา หลักทรัพย์ที่ทำผลตอบแทนได้ดีเข้าตาที่สุดกลับเป็นหุ้น โดยเฉพาะหุ้นฝั่งสหรัฐฯ และหุ้นธีมเทคโนโลยี

 

ทำให้ทีมกลยุทธ์เราเริ่มเดินหน้าสะสมหุ้นเข้าพอร์ตเพิ่ม จากเดิมที่สะสมมาก่อนหน้าบ้างแล้วบางส่วน

 

โดยรอบนี้เรามองสองกลุ่มคือหุ้น Growth และ หุ้น Defensive

 

แต่เนื่องจากราคาของหุ้นสองกลุ่มที่ไม่ได้วิ่งไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้เราต้องลงรายละเอียดการเข้าสะสมของหุ้นทั้งสองกลุ่มนี้

 

จะเป็นอย่างไร? มาดูกัน

 

┏━━━━━━━━━━━━━┓

🔊DCA ผ่าน odini ได้แล้ววันนี้ ลองเลย 👆

┗━━━━━━━━━━━━━┛

 

ซื้อแล้ว ซื้ออยู่ รอซื้อต่อ กับหุ้นสหรัฐ โดย odiniBlack

 

หุ้น Growth ซื้อได้ แต่ขอต่อราคาหน่อย

 

เรามองว่าหุ้น Growth ยังเป็นอะไรที่น่าสนใจ และน่าสะสม เพียงแต่ว่าราคาตอนนี้อาจจะยังแพงไป

 

โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มกลุ่ม Technology, Communication Services และ Consumer Discretionary ซึ่งเป็นกลุ่มที่หนุนให้ดัชนีปรับตัวขึ้น ไม่ว่าจะเป็น

 

  • S&P500 ปรับตัวขึ้น 14.9%

  • Nasdaq100 ปรับตัวขึ้น 37.9% 

 

โดยที่กลุ่ม Technology และกลุ่ม Consumer Discretionary ตอนนี้มีมูลค่าที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ประมาณ +1 S.D. บนข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี

 

อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นของตลาดหุ้นในรอบนี้กระจุกตัวอยู่ในหุ้นในกลุ่มดังกล่าวขนาดใหญ่ โดยผลตอบแทนของ S&P เกิดจากหุ้น 10 อันดับแรกคิดเป็น 90% ของผลตอบแทน YTD 

 

ซึ่งการไปไล่ราคา อาจทำให้เราได้หุ้นที่ดี แต่ราคาไม่ถูก ดังนั้นกลยุทธ์ย่อซื้อหรือ Buy On Dip ดูน่าสนใจและน่าปลอดภัยกว่าในระยะยาว

 

เน้นโอกาสลงทุนในกลุ่ม Defensive ที่เราทยอยสะสมนำมาล่วงหน้าแล้ว

 

ในด้าน Valuation ถ้าเราใช้ Forward P/E ของ S&P500 ที่คิดโดยวิธี Market-cap Weight

จะอยู่ที่ 19.3 เท่า ซึ่งสะท้อนระดับราคาที่แพงเมื่อเทียบกับในอดีต และการที่ราคาแพงเท่าไรแปลว่า Upside ที่ปรับตัวขึ้นต่อได้ยิ่งลดลงและถูกจำกัดตามไปด้วย

 

แต่ว่าถ้าเราคำนวณ Forward P/E ของ S&P500 ที่คิดโดยวิธี Equal Weight จะพบว่าตอนนี้อยู่ที่ 16.1 เท่าพูดง่ายๆ คือตลาดที่ปรับตัวขึ้นรอบนี้ หุ้นกลุ่ม Laggard ยังไม่มา และรอเราขึ้นรถอยู่  

 

โดยระยะเวลาที่ผ่านมา หุ้นกลุ่ม Laggard สามารถสร้างผลตอบแทนได้น้อยกว่า S&P500 ทั้งที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง รวมไปถึงมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ โดยกลุ่ม Laggard ที่เราสนใจคือหุ้นกลุ่ม Defensive 

 

ตัวอย่างเช่น กลุ่ม Health Care ธุรกิจคู่บ้านคู่เมืองอย่างธุรกิจการแพทย์ ที่ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจ มี Return on Capital ในระดับสูง และ Valuation ที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากการเติบโตระยะยาวจากกระแสสังคมผู้สูงอายุอีกด้วย

 

สรุปกลยุทธ์การสะสมหุ้น

 

สะสมเพิ่มหุ้นกลุ่มที่ยังไม่ปรับตัวขึ้นและยังมีความ Laggard อาทิ กลุ่ม Defensive เช่น Health Care ขณะที่หุ้น Growth เราจะทยอยสะสมอย่างระมัดระวังทีละน้อย หากหุ้นกลุ่มนี้ปรับฐานลงมา

 

สรุปกลยุทธ์พอร์ต

 

กระจายลงทุนทั้งในกลุ่มเติบโตสูง กลุ่มเติบโตอย่างมีคุณภาพ กลุ่ม Defensive อย่าง Health Care และ โครงสร้างพื้นฐาน พลังงานดั้งเดิมและพลังงานสะอาด รวมถึงหุ้นในประเทศจีนและเวียดนามที่เศรษฐกิจมีการฟื้นตัว คิดเป็นตราสารหนี้ 45% หุ้น 50% และทองคำ 5%

 

┏━━━━━━━━━━━━━┓

odini BLACK Ultimate Allocation

✔️นโยบายการลงทุนที่สามารถปรับระดับความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนให้เหมาะกับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา

✔️เพิ่มความยืดหยุ่นด้วยการทยอยเพิ่มหรือลดน้ําหนักการลงทุนให้เหมาะสม

✔️ดำเนินการโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ พร้อมปรับพอร์ตอัตโนมัติ 

✔️ลงทุนเริ่มต้นเพียง 100,000 บาท

หากสนใจเริ่มลงทุน คลิก odiniapp.co/3NZCMWQ

┗━━━━━━━━━━━━━┛

อ้างอิง Bloomberg ข้อมูล ณ 20 มิ.ย. 2023

 

#odini
#แอปลงทุนกองทุนรวมอัตโนมัติ
#ลงทุนง่ายได้ทุกคน

 

*ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต
**การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน



No Comments

Sorry, the comment form is closed at this time.