odini BLACK Schroders Growth & Income จุดต่ำสุดของหุ้น (สหรัฐฯ) อยู่ตรงไหน?
ภายหลังฤดูกาลประกาศผลประกอบการของหุ้นจดทะเบียนสหรัฐฯ ในไตรมาส 3/2022 ที่ผ่านมา
Meta Platform ได้เผยถึงยอดโฆษณาที่แย่ลง ประกอบกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการทุ่มเงินลงทุนในด้านปัญญาประดิษฐ์ และ Metaverse ขณะที่ Amazon และ Microsoft เองก็ได้ทำให้ตลาดผิดหวัง ส่วนหนึ่งจากอุปสงค์ต่อธุรกิจคลาวด์ปรับตัวแย่ลง
ทั้ง 3 บริษัทได้ทำผลตอบแทนแย่กว่าดัชนีในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกรณีของ Meta Platforms และ Amazon
💠ผลตอบแทนหุ้นสหรัฐฯ เดือนตุลาคม
#ดัชนี
Nasdaq +9.8%
S&P500 +8.1%
#หุ้น
Netflix +24.0%
PepsiCo +11.2%
Apple +11.0%
Microsoft -0.3%
Alphabet -1.2%
Amazon -9.3%
Meta Platforms -31.3%
🎢ไม่ได้มีการเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีแบบวงกว้าง
Frank Thormann ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอหุ้นทั่วโลก กล่าวว่า “หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่เป็นผู้แพ้ในสหรัฐฯ คือ Meta Platforms และ Amazon เนื่องจากมุมมองในอนาคตและผลประกอบการออกมาอ่อนแอ”
“แต่ไม่ใช่ทั้งหมดที่เป็นข่าวร้ายสำหรับหุ้นเทคโนโลยีในไตรมาสนี้ เพราะ Apple ได้เผยถึงกำไรที่ดีขึ้นเล็กน้อยและหุ้นเทคโนโลยีอื่นก็ยังทำผลตอบแทนได้ดีเช่นกัน”
“ไม่มีการเทขายแบบวงกว้างในกลุ่มนี้ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หุ้นที่ทำผลตอบแทนได้โดดเด่นคือ Netflix เนื่องจากนักลงทุนตอบรับเชิงบวกสำหรับแผนการเพิ่มจำนวนสมาชิกในอนาคต ผ่านการนำช่องทางโฆษณาเข้ามาในแพลตฟอร์ม”
🎢หุ้นที่มีคุณภาพสูง จะอยู่ในสถานะที่ดีที่สุดในสภาวะตลาดผันผวน
“บริษัทกลุ่มพลังงานได้ทำผลกำไรอย่างมากจากระดับราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น” Tina Fong นักกลยุทธ์กล่าว “บางบริษัทด้านบริโภคก็ได้รับประโยชน์จากการมี Pricing Power (ความสามารถของบริษัทในการปรับขึ้นราคาโดยไม่ได้ทำให้ความต้องการสินค้าลดลง) รวมถึงผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์
Alex Tedder หัวหน้าการลงทุนหุ้นทั่วโลกและธีมาติก กล่าว “บริษัทที่มีคุณภาพสูง กระแสเงินสดที่ดี โมเดลธุรกิจที่สมบูรณ์แบบ ไปจนถึงความสามารถในการส่งผ่านราคาเพื่อที่จะชดเชยเงินเฟ้อ จะอยู่ในสถานะที่ดีที่สุดในสภาวะตลาดผันผวนแบบนี้”
“PepsiCo เป็นตัวอย่างบริษัทที่สามารถแสดงถึง Pricing Power ด้วยการปรับระดับราคาที่สูงขึ้นได้ในไตรมาสที่ 2 ถึง 3 ที่ผ่านมา”
🎢จุดต่ำสุดของหุ้น (สหรัฐฯ) อยู่ตรงไหน?
ด้วยระดับราคาของสินค้าจำเป็นอย่างอาหารและพลังงาน รวมถึงระดับอัตราดอกเบี้ยที่ได้ปรับตัวสูงขึ้น ผลพวงที่ตามมาแน่นอนว่าต้องเป็นผลประกอบการบริษัทที่จะแย่ลง
“การคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัทเป็นไปในทิศทางที่แย่ลงแล้ว แต่ยังไม่แย่เพียงพอที่จะรวมถึงปัจจัยเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ ในปีข้างหน้า ตลาดกำลังประเมินแง่ดีเกินไปสำหรับผลประกอบการบริษัทที่กำลังจะออกมา” Tina Fong กล่าว
“สำคัญหากจะย้อนกลับมาดูผลประกอบการในมุมมองที่กว้างขึ้น” Frank Thorrman กล่าว
💠กำไรต่อหุ้นของดัชนี S&P500
ปี 2018 และ 2019 อยู่ที่ระดับ 150
ปี 2020 อยู่ที่ระดับ 125 ปรับตัวลงจากโควิด
ปี 2021 อยู่ที่ระดับ 193 โดยนับเป็นการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง
ปี 2022 ไตรมาส 1 ถึง 2 ได้รับโมเมนตัมส่งต่อจากปี 2021 ที่ผ่านมา
“ขณะที่ช่วงกลางปี 2022 นักวิเคราะห์คาดว่า กำไรต่อหุ้นของปี 2022 จะไปแตะถึงระดับ 230 แต่กลับกลายเป็นว่าในตอนนี้การคาดการณ์ดังกล่าวได้ถูกปรับลดลงอยู่สำหรับไตรมาส 3 แม้จะกลับมาเร่งตัวอีกครั้งหลังจากนั้น และก่อนหน้าของฤดูกาลผลประกอบการนี้ นักวิเคราะห์คาดว่ากำไรต่อหุ้นจะโตอีก 10% ในปี 2023”
“การคาดการณ์เหล่านี้ ถือเป็นกรณีที่ดีที่สุด ซึ่งหมายถึงการปรับ Downgrade ลง จะดำเนินต่อไปอีก”
“เราเชื่อว่าผลประกอบการกำไรต่อหุ้นจะทำจุดต่ำสุดในช่วงกลางปีหน้า และตลาดจะเริ่มรับรู้ 6-9 เดือนล่วงหน้า ดังนั้นในตอนนี้เราอาจจะกำลังเข้าสู่จุดต่ำที่สุดของหุ้นสหรัฐฯ ที่ปัจจัยเสี่ยงนี้ได้สะท้อนในระดับ Valuation เป็นที่เรียบร้อยแล้ว” Alex Tedder กล่าว
♟️ ให้ Schroders ผู้บริหารพอร์ตลงทุนระดับโลกดูแลพอร์ตของคุณ
นโยบายการลงทุนภายใต้แอปพลิเคชัน odini ผ่านพอร์ต Schroders Growth & Income โดยบริษัทจัดการลงทุนระดับโลก Schroders เป็นที่ปรึกษาในการจัดสรรสินทรัพย์ ด้วยกลยุทธ์กระจายการลงทุนแบบยืดหยุ่นไม่มีข้อจำกัด ด้วยการปรับสัดส่วนการลงทุนให้เข้ากับสถานการณ์และสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง
อยากเริ่มลงทุนแล้ว คลิก odiniapp.co/3NZCMWQ
#odini
#แอปลงทุนกองทุนรวมอัตโนมัติ
#ลงทุนง่ายได้ทุกคน
ที่มา: Factset, Schroders, 2 พ.ย. 2022