รู้จัก Robo-advisor ผู้ช่วยเรื่องการลงทุน จากการจำลอง สมอง Fund Manager
รู้จัก Robo-advisor ผู้ช่วยเรื่องการลงทุน จากการจำลอง สมอง Fund Manager
ไม่มีความรู้.. ไม่มีเวลา.. และไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไรดี..
นี่เป็นเพียงเหตุผลบางข้อ ที่ทำให้ใครหลายคนรู้สึกไม่มั่นใจที่จะเริ่มต้นการลงทุนด้วยตนเอง
หลายคนจึงเลือกที่จะลงทุนใน “กองทุนรวม”
ซึ่งจะมีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนคอยบริหารจัดการด้านการลงทุนให้
แต่การลงทุนในกองทุนรวม ก็ยังต้องเลือก
ว่าเราจะเหมาะกับกองทุนรวมแบบไหน
แล้วเรื่องนี้ เราจะปรึกษาใครดี ?
ปัญหานี้ ได้กลายมาเป็นจุดกำเนิดของผู้ช่วยอัจฉริยะ ที่ชื่อว่า “Robo-advisor”
แล้ว Robo-advisor คืออะไร ?
ปกติแล้ว เราจะเรียกที่ปรึกษาทางการเงินการลงทุนว่า “Financial Advisor”
ซึ่งจะคอยทำหน้าที่ดูแลให้คำแนะนำด้านการลงทุนต่าง ๆ ให้แก่นักลงทุน
แต่เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่ว่านี้
อยู่ในรูปของ “ระบบอัลกอริทึม” เสมือนกับสมองจำลองของ Fund Manager
จึงถูกเรียกชื่อว่า “Robo-advisor” ซึ่งก็มาจากคำว่า Robot บวกกับ Advisor นั่นเอง
รู้หรือไม่ โลกของเรามีการพัฒนา Robo-advisor
มาตั้งแต่ปี 2007 หรือกว่า 15 ปี มาแล้ว
โดยเริ่มแรก Robo-advisor ถูกพัฒนาขึ้นมา
เพื่อช่วยในการปรับสมดุลของทรัพย์สินในกองทุนรวมแบบอัตโนมัติ
จากนั้น ก็เริ่มพัฒนาเพื่อรองรับการซื้อขายการลงทุนแบบอัตโนมัติ
กลายมาเป็น Robo-advisor ที่มีความสามารถหลากหลาย ในปัจจุบันนี้
แล้ว Robo-advisor จะช่วยเหลือการลงทุนของเรา ได้อย่างไร ?
1.Robo-advisor ช่วยออกแบบพอร์ตการลงทุน ตามเป้าหมายที่ต้องการ
ทุกการลงทุนควรมีเป้าหมาย ซึ่ง Robo-advisor จะเข้ามาช่วยให้เราไปถึงจุดหมายนั้น
ซึ่งปัจจัยสำคัญ ที่จะส่งผลต่อเป้าหมายนั้น คือ จำนวนเงินลงทุน, ระยะเวลาการลงทุน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
เมื่อเรากำหนดเป้าหมายและ 3 ปัจจัยสำคัญ เรียบร้อยแล้ว
Robo-advisor ที่มี ระบบอัลกอริทึม ที่ได้จากการจำลองสมองของ Fund Manager และข้อมูลสถิติในอดีต ก็จะรับข้อมูลไปประมวลผล และแนะนำออกมาเป็นพอร์ตการลงทุน ที่เหมาะสมกับเป้าหมายของเรา
2.ช่วยกระจายการลงทุน หรือ Asset Allocation
ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันกองทุนรวมมีหลากหลายประเภท
จนหลายคนสับสนว่า.. แล้วกองทุนประเภทใด เหมาะสมกับพอร์ตการลงทุนของเรา
หากจะทำการศึกษากองทุนแต่ละประเภท ก็คงต้องใช้เวลาไปไม่น้อย
ด้วยเหตุนี้ Robo-advisor จึงเข้ามาช่วยทำหน้าที่กระจายการลงทุนไปในกองทุนต่าง ๆ
เช่น ตราสารหนี้, หุ้นในประเทศ, หุ้นต่างประเทศ, อสังหาริมทรัพย์ และทองคำ
โดย สัดส่วนการลงทุน ในกองทุนแต่ละประเภทนั้น
ก็ขึ้นอยู่กับ ปัจจัยข้างต้นที่เราเป็นผู้กำหนดนั่นเอง
เรียกได้ว่า นอกจากจะช่วยลดเวลาในการศึกษารายละเอียดกองทุนไปได้แล้ว
Robo-advisor ยังช่วยกระจายความเสี่ยงพอร์ตการลงทุนได้โดยอัตโนมัติ อีกด้วย
3.ช่วยปรับสมดุลพอร์ตการลงทุน หรือ Rebalancing
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การลงทุนระยะยาวต้องพบเจอหลากหลายปัจจัยที่จะเข้ามากระทบพอร์ตการลงทุน
ยกตัวอย่างเช่น
– การผันผวนของสถานการณ์ตลาด
– การเพิ่มขึ้น-ลดลง ของผลตอบแทนของสินทรัพย์ ที่ทำให้สัดส่วนของพอร์ตการลงทุนเปลี่ยนไป
ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมีการปรับสมดุลพอร์ต เรียกว่า Rebalancing
เพื่อทำให้พอร์ตการลงทุนของเรา ยังอยู่ในกรอบเป้าหมายที่วางไว้ได้
โดย Robo-advisor จะเข้ามาช่วยเราทำหน้าที่นี้โดยอัตโนมัติ
สร้างความมั่นใจได้ว่า แม้เราจะไม่ได้ติดตามสถานการณ์ตลาด
แต่พอร์ตการลงทุนของเรา จะยังคงอยู่ภายใต้การดูแลของ “สมองจำลอง” ของ Fund Manager อยู่ตลอดเวลา
มาถึงตรงนี้ จะเห็นได้ว่า การลงทุนด้วย Robo-advisor
ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เราเข้าถึงโลกการลงทุนได้ง่ายขึ้น
แต่ยังทำหน้าที่บริหารพอร์ตการลงทุนของเราในทุกมิติ
ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบการลงทุน การกระจายการลงทุน และการปรับสมดุลพอร์ตการลงทุน
ที่น่าสนใจคือ Robo-advisor ยังทำให้เรามั่นใจอีกด้วยว่า
พอร์ตการลงทุนของเรา จะได้รับการดูแลภายใต้ “สมองจำลอง” ของ Fund Manager
ซึ่งด้วยความแม่นยำในทุกวันนี้ ก็เรียกได้ว่า
ไม่ต่างไปจากการมีผู้จัดการกองทุนอยู่ข้างกายเรา เลยทีเดียว..
odini ยังมีคอนเทนต์เกี่ยวกับโลกการลงทุนแบบเข้าใจง่ายๆ ให้เพื่อนๆ ได้เลือกอ่านอีกมากมาย คลิกที่ลิงก์นี้กันได้เลย /odini-blog/
#odini #ลงทุนง่ายได้ทุกคน