odini คือแอปพลิเคชันสำหรับการลงทุนอัตโนมัติด้วยระบบ Robo-advisor1 ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อนำเสนอบริการด้านการลงทุนที่เหมาะสมกับคนไทย โดยที่ odini เป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน โรโบเวลธ์ จำกัด (บริษัท) ดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) และบริษัทได้รับการรับรองในฐานะการเป็นผู้ให้บริการด้านการลงทุน ภายใต้โครงการ 5 ขั้นมั่นใจลงทุน 2 จุดประสงค์ของ White Paper นี้คือการให้ข้อมูลและความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทำงานของ odini
แอปพลิเคชัน odini ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2017 โดยทีมงานซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเงินและเทคโนโลยี โดยแอปพลิเคชันมีองค์ประกอบหลักทั้งหมด 3 ส่วน ได้แก่ การวิเคราะห์นักลงทุน การวิเคราะห์การลงทุน และการส่งคำสั่งซื้อขายกองทุนรวมโดยอัตโนมัติ
odini ถูกออกแบบโดยให้ความสำคัญกับหลัก 3 ประการ ดังนี้
• ง่าย แอปพลิเคชันถูกออกแบบให้เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ใช้งานได้ง่ายบนโทรศัพท์มือถือ
• สะดวก เปิดบัญชีผ่านแอปพลิเคชันโดยไม่ต้องใช้กระดาษ และสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้แบบอัตโนมัติ
• น่าเชื่อถือ นำแบบจำลองการเงินชั้นนำและ AI มาปรับเปลี่ยนและประยุกต์ใช้ให้เข้ากับระบบการลงทุนในประเทศ
คนไทยส่วนใหญ่มักจะลงทุนในเงินฝากธนาคารและตราสารหนี้ ซึ่งเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ แม้จะเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนค่อนข้างมั่นคง แต่การลงทุนในลักษณะนี้จะมีความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุน อาจต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะยาว odini มุ่งหวังที่จะจัดการกับความเสี่ยงดังกล่าว โดยการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีผลตอบแทนที่คาดหวัง สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะยาวได้
ในทุกเดือน odini จะมีการวิเคราะห์และปรับเปลี่ยน (Rebalance) พอร์ตการลงทุนทั้งหมด 5 พอร์ต เพื่อให้มีความเสี่ยงต่ำที่สุดในขณะที่ยังสามารถคงอัตราผลตอบแทนเป้าหมายเอาไว้ได้ จุดประสงค์หลักของการวิเคราะห์นักลงทุน คือการแนะนำพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมที่สุดให้กับนักลงทุนแต่ละคน ดังนั้น เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว นักลงทุนจึงต้องทำแบบสอบถามเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมายของการลงทุน ระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ และระยะเวลาที่คาดว่าจะลงทุน
ในกรณีที่นักลงทุนสามารถรับความเสี่ยงได้สูง พอร์ตของนักลงทุนจะมีการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในสัดส่วนที่สูงขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว อย่างไรก็ตาม พอร์ตการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงอาจจะมีผลขาดทุนบ้างในระยะสั้น เนื่องจาก สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมักจะให้ผลตอบแทนที่ผันผวน ซึ่งความเสี่ยงดังกล่าวสามารถลดลงได้ด้วยการขยายระยะเวลาการลงทุน เนื่องจากผลตอบแทนของตราสารทุนในตลาดมักจะอยู่ในรูปแบบ Mean-reversion3
การจัดสัดส่วนการลงทุนเป็นการจัดน้ำหนักของสินทรัพย์แต่ละประเภท ให้เหมาะสมกับนักลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ และระยะเวลาในการลงทุนของนักลงทุนแต่ละคน ซึ่ง odini แบ่งพอร์ตการลงทุนออกเป็น 5 ประเภท ตามระดับความเสี่ยง ได้แก่ พอร์ตความเสี่ยงต่ำ พอร์ตความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ พอร์ตความเสี่ยงปานกลาง พอร์ตความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง และพอร์ตความเสี่ยงสูง
วัตถุประสงค์หลักของการจัดสัดส่วนการลงทุนคือการลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนให้ต่ำที่สุด โดยมีผลตอบแทนเป้าหมายตั้งแต่ 4% ต่อปีในพอร์ตความเสี่ยงต่ำ ไปจนถึง 12% ต่อปีในพอร์ตความเสี่ยงสูง ซึ่งการคำนวณความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนนั้นจะใช้ Conditional Value-at-Risk (CVaR) ที่คำนึงถึง Tail Risk เป็นตัวแทนของมาตรวัดความเสี่ยง กระบวนการคำนวณนี้จะเริ่มจากการกำหนดสัดส่วนการลงทุนในระดับการกำหนดสัดส่วนการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Asset Allocation (SAA)) เพื่อเป็นแกนหลักของพอร์ตการลงทุน (Core Portfolio) ในระยะยาว ซึ่งประกอบด้วยตราสารหนี้และตราสารทุนภายในประเทศ
จากแผนภาพข้างต้น หากนักลงทุนคาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น สัดส่วนการลงทุนในตราสารทุนต้องสูงขึ้นตาม ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้สูงขึ้นด้วย เนื่องจากราคาของตราสารทุนมักจะมีความผันผวนในระยะสั้น ตารางถัดไปจะแสดงถึงข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ปี 2007 ถึงปี 2017 ของแต่ละพอร์ตการลงทุนตามระดับความเสี่ยง เมื่อใช้สัดส่วนการลงทุนที่ได้จากการกำหนดสัดส่วนการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์
แม้ว่าพอร์ตความเสี่ยงต่ำจะสามารถสร้างผลตอบแทนเป็นบวกได้ทุกปี แต่มีผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (Compound Annual Growth Rate (CAGR)) เพียง 4.11% ต่อปี เนื่องจากพอร์ตความเสี่ยงต่ำมีสัดส่วนการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้มากถึง 94.40% เมื่อเทียบกับพอร์ตความเสี่ยงสูงที่มี CAGR ถึง 10.79% ในระยะยาว แม้ว่าจะมีช่วงเวลาที่มีผลขาดทุนสูงสุดถึง -32.74% ในปี 2008 ซึ่งเกิดจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจทั่วโลก แต่ผลขาดทุนนี้สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ทั้งหมดในระยะเวลาเพียง 1 ปีหลังจากนั้น และกลับมามีผลกำไรต่อเนื่องถึง 4 ปี
แผนภาพด้านล่างแสดงมูลค่ารายเดือนของพอร์ตการลงทุนหลัก (Core Portfolio) เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของความเสี่ยงและผลตอบแทน โดยเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพอร์ตความเสี่ยงต่ำและพอร์ตความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ จะมีการเติบโตที่ค่อนข้างมั่นคงมากกว่าพอร์ตการลงทุนอื่น ๆ ซึ่งเหมาะสำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้น้อย ส่วนพอร์ตความเสี่ยงสูงและพอร์ตความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง ยังต้องเผชิญกับการขาดทุนในปี 2011 2013 และ 2015 นอกเหนือจากการขาดทุนในช่วงวิกฤติการณ์แฮมเบอร์เกอร์ ในปี 2008
ขั้นตอนถัดมาในการจัดสัดส่วนการลงทุน คือการกำหนดสัดส่วนการลงทุนตามสภาวะตลาด (Tactical Asset Allocation (TAA)) ซึ่งจะทำการกระจายน้ำหนักการลงทุนไปสู่สินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ตามมุมมองที่มีต่อสภาวะตลาด โดยที่สัดส่วนการลงทุนตามสภาวะตลาด (Tactical Asset Allocation (TAA)) ที่ระบบคำนวณได้นั้น จะต้องได้รับการพิจารณาอนุมัติจากคณะกรรมการการลงทุน (Investment Committee) ของบริษัทก่อนที่จะนำไปใช้งานต่อไป โดยที่แผนภาพถัดไปจะแสดงถึงประเภทของสินทรัพย์ทั้งหมดที่อาจมีการลงทุน รวมถึงดัชนีที่ใช้อ้างอิง (Benchmark) ของสินทรัพย์นั้น ๆ
ตารางถัดมาแสดงถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์แต่ละประเภท พบว่าตราสารทุนในประเทศและกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สามารถให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้นได้สูงสุดถึง 12.92% และ 10.07% ตามลำดับ
จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง 11 ปี จะสังเกตได้ว่ามีเพียง 3 ปีเท่านั้นที่สินทรัพย์ทุกประเภทมีผลตอบแทนเป็นบวกทั้งหมด และสำหรับนักลงทุนไทย การกระจายการลงทุนไปยังกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น สามารถช่วยลดผลกระทบจากผลขาดทุนในช่วงปี 2013 และ 2015 ได้ โดยที่ตารางต่อไปจะแสดงถึงความสัมพันธ์ (Correlation) ของผลตอบแทนระหว่างสินทรัพย์แต่ละประเภท ซึ่งคำนวณจากผลตอบแทนรายเดือนตั้งแต่ปี 2007 ถึง 2017
แบบจำลองเชิงปริมาณ (Quantitative Model) ของ odini จะกำหนดและปรับเปลี่ยนสัดส่วน TAA ของสินทรัพย์แต่ละชนิดตามสภาวะเศรษฐกิจและมุมมองต่อสินทรัพย์ในอนาคต สินทรัพย์ที่มีแนวโน้มดีในอนาคตจะถูกจัดสรรน้ำหนักการลงทุนให้มากกว่าสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มไม่ดี เทคนิคการลงทุนนี้ถือเป็นการกำหนดสัดส่วนการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะตลาด (Dynamic Asset Allocation หรือ Tactical Asset Allocation – TAA) ซึ่งจะถูกคำนวณจาก Black-Litterman Model ที่ถูกพัฒนาโดย Fischer Black และ Robert Litterman
จากการทดสอบเชิงประจักษ์ การกำหนดสัดส่วนการลงทุนตามสภาวะตลาด (TAA) สามารถสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มเมื่อเทียบกับพอร์ตการลงทุนหลัก (Core Portfolio) ในทุกระดับความเสี่ยง และสามารถลดความผันผวนในทุกพอร์ตการลงทุนยกเว้นพอร์ตความเสี่ยงต่ำ โดยการวิเคราะห์ดังกล่าว ได้รวมผลกระทบที่เกิดจากค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่เรียกเก็บจากกองทุนรวมแล้ว เพื่อให้สะท้อนถึงผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงสำหรับลูกค้า โดยสรุปแล้ว พอร์ตการลงทุนที่ถูกปรับตามสภาวะตลาด (TAA) จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นสำหรับการลงทุนในระยะยาว และช่วยลดความผันผวนของผลตอบแทนในระยะสั้นได้
หลังจากกำหนดสัดส่วนการลงทุนของพอร์ตการลงทุนในแต่ละระดับความเสี่ยงแล้ว กระบวนการถัดไปคือการพิจารณาคัดเลือกกองทุนรวมที่มีความเหมาะสมในการเป็นตัวแทนของแต่ละประเภทสินทรัพย์ (Asset Class) โดยที่ขั้นตอนแรกคือการเลือกวิธีการบริหารจัดการกองทุนที่เหมาะสมกับแต่ละประเภทสินทรัพย์ ระหว่างวิธีการบริหารจัดการแบบมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง (Passive Fund) กับแบบมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนีอ้างอิง (Active Fund) สินทรัพย์แต่ละประเภทจะถูกนำมาศึกษาในเชิงประจักษ์ว่า การคัดเลือกกองทุน Active Fund ที่ดีที่สุดในประเภทสินทรัพย์นั้น สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนีอ้างอิงได้อย่างสม่ำเสมอหรือไม่ ในกรณีที่สามารถทำได้ แสดงว่าการคัดเลือกกองทุน Active Fund เป็นวิธีการที่เหมาะสมสำหรับสินทรัพย์ประเภทนั้น แต่ในกรณีที่ไม่สามารถทำได้ การเลือกลงทุนในกองทุน Passive Fund ก็จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ในตลาดการลงทุนโลก กองทุนแบบ Passive Fund นั้นได้รับความนิยมมากกว่ากองทุนแบบ Active Fund เนื่องจากมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าและตลาดทุนในประเทศที่พัฒนาแล้วก็เป็นตลาดที่มีประสิทธิภาพ (Market Efficiency) ดังนั้น odini จึงคัดเลือก Passive Fund มาเพื่อเป็นตัวแทนสินทรัพย์ประเภทตราสารทุนต่างประเทศ รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์ (ทองคำ) ด้วย โดยในแต่ละเดือนจะมีการคัดเลือกกองทุนรวมแบบ Passive Fund ที่มีความคลาดเคลื่อนจากดัชนีอ้างอิงต่ำ (Low Tracking Error) และมีค่าธรรมเนียมไม่สูง ซึ่งความคลาดเคลื่อนจากดัชนีอ้างอิงนี้จะเป็นปัจจัยที่แสดงถึงความมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกองทุน
เนื่องจากในตลาดกองทุนรวมของประเทศไทยนั้น มีจำนวนกองทุนรวมที่ลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Fund of Property Funds) น้อยเกินกว่าที่จะทำการวิเคราะห์เชิงปริมาณได้ คณะกรรมการการลงทุนของบริษัทจึงคัดเลือกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ส่วนกองทุนรวมตราสารหนี้และกองทุนรวมตราสารทุนในประเทศนั้น odini ใช้วิธีการเชิงปริมาณในการคัดเลือกกองทุนรวมแบบ Active Fund เนื่องจากเป็นการคัดเลือกที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนีอ้างอิงได้ในระยะยาวได้
1. กองทุนที่มีผลการดำเนินงานดีอย่างสม่ำเสมอมากกว่ากองทุนอื่น ๆ จะสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่ดีได้อย่างต่อเนื่องในรอบระยะเวลาถัดไป
2. การลงทุนในกลุ่มกองทุนที่มีผลการดำเนินงานรวมดีอย่างสม่ำเสมอหลายกองทุน จะมีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในกองทุนที่ดีที่สุดเพียงกองทุนเดียว
ในการคัดเลือกกองทุน ผลการดำเนินงานของกองทุนจะถูกคำนวณจากผลตอบแทนย้อนหลังระยะเวลา 3 เดือน 6 เดือน และ 12 เดือน โดยการนำผลตอบแทนย้อนหลังในแต่ละระยะเวลามาคำนวณหา Percentile Rank (PR) เพื่อจัดอันดับเทียบกับกองทุนรวมอื่น ๆ ในประเภทสินทรัพย์เดียวกัน จากนั้นจึงทำการหาค่าเฉลี่ยของ Percentile Rank จากทุกระยะเวลาเพื่อใช้เป็นคะแนนผลการดำเนินงาน (Performance Score) ของกองทุน สำหรับการวิเคราะห์ความสม่ำเสมอของผลการดำเนินงานจะคำนวณจากผลตอบแทนรายเดือนย้อนหลัง 12 เดือนล่าสุด และใช้วิธีการคำนวณหา Percentile Rank เพื่อจัดอันดับอีกครั้ง โดยกองทุนที่อันดับมีความสม่ำเสมอสูงจะได้รับคะแนนความสม่ำเสมอของผลการดำเนินงาน (Consistency Score) สูง กองทุนที่ได้คะแนนสูงทั้งในด้านผลการดำเนินงานและความสม่ำเสมอของผลการดำเนินงานจะถือว่าเป็นกองทุนที่ดีที่สุดของประเภทสินทรัพย์
ขั้นตอนถัดไปจะเป็นการใช้วิธีการแบบเดิมตามที่ได้กล่าวมาเพื่อคำนวณหาคะแนนผลการดำเนินงาน (Performance Score) และคะแนนความสม่ำเสมอของผลการดำเนินงาน (Consistency Score) ของกลุ่มกองทุนจำนวน 3 กองทุน เพื่อคัดเลือกกลุ่มกองทุนที่ดีที่สุดจากทุกกลุ่มกองทุนที่สามารถผสมกันได้ (Combination) ในแต่ละประเภทสินทรัพย์
ในการทดสอบเชิงประจักษ์ เราจะทำการทดสอบแบบไปข้างหน้า (Forward Testing) เพื่อตรวจสอบว่าการเลือกลงทุนใน Active Fund ที่ดีที่สุดเพียงกองทุนเดียวจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนีอ้างอิงได้หรือไม่ และนอกจากนี้จะทำการตรวจสอบด้วยว่า การลงทุนในกลุ่มกองทุน 3 กองทุนจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในกองทุนที่ดีที่สุดเพียงกองทุนเดียวหรือไม่
สำหรับกองทุนรวมตราสารหนี้ การเลือกลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่ดีที่สุดเพียงกองทุนเดียวสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนีอ้างอิงได้ถึง 5 ปีติดต่อกัน อย่างไรก็ตามการเลือกลงทุนในกลุ่มกองทุนรวมจำนวน 3 กองทุนไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในกองทุนรวมที่ดีที่สุดเพียงกองทุนเดียวได้ หมายความว่ากองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีผลการดำเนินงานดีอย่างสม่ำเสมอมากกว่ากองทุนอื่น ๆ สามารถสร้างผลการดำเนินงานที่ดีได้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน และเป็นเรื่องปกติที่จะพบกองทุนรวมตราสารหนี้ที่สามารถรักษาผลการดำเนินงานที่ดีได้เช่นนี้ การมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นนี้ เป็นผลมาจากความสามารถของผู้จัดการกองทุนที่สามารถหาตราสารหนี้ที่ดี เพื่อลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับกองทุนรวมตราสารทุนในประเทศ การเลือกลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนในประเทศที่ดีที่สุดเพียงกองทุนเดียว ให้ผลตอบแทนที่แย่กว่าดัชนีอ้างอิงเล็กน้อย เนื่องจากการลงทุนในตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง จึงเป็นเรื่องยากที่กองทุนรวมจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานให้ดีได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อสภาวะตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การลงทุนในกลุ่มกองทุนรวมจำนวน 3 กองทุนกลับสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนีอ้างอิงได้ ซึ่งการกระจายความเสี่ยงเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มให้กับพอร์ตการลงทุนแบบนี้ การผสมผสานกันระหว่างกองทุนรวมที่มีความสัมพันธ์ระหว่างกันไม่สูงมาก จะช่วยสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีผลการดำเนินงานที่เหนือกว่าดัชนีอ้างอิงได้
ในระหว่างการลงทุน ระบบจะทำการเปรียบเทียบน้ำหนักการลงทุนจริงในขณะนั้น ๆ ของนักลงทุนแต่ละรายกับน้ำหนักการลงทุนที่แนะนำอยู่เสมอ เนื่องจากการเคลื่อนไหวของราคาของสินทรัพย์สามารถส่งผลให้น้ำหนักการลงทุนจริงเบี่ยงเบนไปจากน้ำหนักการลงทุนที่แนะนำอยู่เดิมได้ รวมถึงการปรับสัดส่วนการลงทุนตามสภาวะตลาด (TAA) ก็สามารถส่งผลให้น้ำหนักการลงทุนที่แนะนำเปลี่ยนแปลงไปเพื่อให้สะท้อนมุมมองต่อสินทรัพย์แต่ละประเภท หากน้ำหนักการลงทุนจริงของนักลงทุนเบี่ยงเบนไปจากน้ำหนักการลงทุนที่แนะนำอย่างมีนัยสำคัญ พอร์ตการลงทุนจะถูกปรับสัดส่วนการลงทุนอย่างอัตโนมัติ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าของค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าธรรมเนียมในการซื้อหรือขายคืนหน่วยลงทุน เป็นต้น
วิธีที่ดีที่สุดในการลดผลกระทบจากค่าธรรมเนียมดังกล่าวคือ การเพิ่มเงินลงทุนในพอร์ตการลงทุน และการนำเงินปันผลที่ได้รับกลับไปลงทุนต่อ วิธีดังกล่าวเป็นการปรับสัดส่วนการลงทุนโดยใช้กระแสเงินสด (Cash Flow Rebalancing) ซึ่งใน odini นั้น นักลงทุนสามารถทำได้โดยใช้วิธีการ “ลงทุนรายเดือน” ซึ่งระบบจะนำเงินจากบัญชีเงินฝากที่นักลงทุนผูกไว้กับ odini ไปลงทุนให้ในพอร์ตการลงทุนอัตโนมัติเป็นประจำทุกเดือนในจำนวนเงินเท่ากันตามที่นักลงทุนกำหนด
เมื่อมีการลงทุนเพิ่ม ระบบจะนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีน้ำหนักการลงทุนจริง น้อยกว่าน้ำหนักการลงทุนที่แนะนำ (Underweighted) เพื่อทำให้น้ำหนักการลงทุนใหม่ ใกล้เคียงกับน้ำหนักการลงทุนที่แนะนำมากที่สุด เมื่อสินทรัพย์ทุกประเภทมีน้ำหนักเป็นไปตามน้ำหนักที่แนะนำแล้ว เงินลงทุนส่วนที่เหลือจะถูกแบ่งไปลงทุนตามสัดส่วนที่เหมาะสม กระบวนการปรับสัดส่วนการลงทุนแบบอัตโนมัติดังกล่าว จะช่วยทำให้พอร์ตการลงทุนของนักลงทุนแต่ละรายมีความเหมาะสมและสามารถสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงได้ในระยะยาว
email: [email protected]
www.odiniapp.com call: 0 2026 6222
Robowealth Mutual Fund Brokerage Securities Co., Ltd.
6th Floor, Zuellig House Building, 1-7 Silom Road,
Silom, Bangrak, Bangkok 10500, Thailand